วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อ่านแล้วคิดชีวิตเปลี่ยน-รวมเรื่องสั้นสอนใจ


ออกวางจำหน่ายแล้ว!!! 1 ก.ค. 2556
เพิ่มเนื้อหาดีดีอีกมากมาย ตลอด 240 หน้า และเปลี่ยนชื่อเป็น



พิมพ์และจัดจำหน่ายโดย สำนักพิมพ์แฮปปี้บุ๊ค
วางจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ




คำนำ

     หลายๆครั้ง ที่ผมได้รับเรื่องราวดีๆจากเพื่อนๆที่ส่งมาให้ทางอีเมล์ เมื่อผมได้ “อ่าน แล้ว คิด” เรื่องราวเหล่านั้นก็กลายเป็น “แรงบันดาลใจ” หรือ “ให้ข้อคิดดีๆ” ในการทำงาน ตลอดจนการใช้ชีวิตของผม
      ผมจึงคิดว่า สักวันผมจะเขียนหนังสือขึ้นมาสักเล่ม ที่เป็น เรื่องสั้น หรือ บทความสั้นๆ ที่อ่านสนุก แต่จะแฝงไว้ซึ่งข้อคิด และ แรงบันดาลใจ ให้กับผู้ที่ได้ “อ่าน แล้ว คิด”
     
      ผมใช้เวลานานหลายปีในการ เขียนและรวบรวม จนกลายเป็นหนังสือ “อ่าน แล้ว คิดชีวิตเปลี่ยน” เล่มนี้ ด้วยหัวใจที่ตื่นเต้นยิ่งนัก และอยากให้ทุกท่านได้อ่านเหลือเกิน ด้วยความเชื่อมั่นว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นหนังสือประเภท สร้างแรงบันดาลใจ ที่ดีที่สุดอีกเล่มหนึ่งในท้องตลาด
      และเมื่อท่านได้ “อ่าน แล้ว คิด” ผมก็หวังว่า หนังสือเล่มนี้ จะทำให้ “ชีวิตของท่านเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้น” ตามชื่อของหนังสือเล่มนี้
     
ขอให้สนุกและมีความสุขกับการอ่านนะครับ

พละชัย ฟูเกียรติพงษ์
๑๓ เมษายน ๒๕๕๔



บทแรกที่อยากให้ลูกได้ “อ่าน แล้ว คิด”




ทแรกที่อยากให้ลูกได้ “อ่าน แล้ว คิด”

พ่อแม่ก็แก่เฒ่า

พ่อแม่ก็แก่เฒ่า         จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบจะพ้องพาน       เพียงเสี้ยววารของคืนวัน
ใจจริงไม่อยากจาก      เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพมิทนทาน         ย่อมร้าวรานสลายไป

ขอเถิดถ้าสงสาร        อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
คนแก่ชะแรวัย          คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน     
ไม่รักก็ไม่ว่า            เพียงเมตตาช่วยอาทร
ให้กินและให้นอน       คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ

เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง     ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ยามป่วยไข้       ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่      แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ยล       เติบโตจนสง่างาม

ขอโทษถ้าทำผิด        ขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจแท้มีแต่ความ        หวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง          มีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่งคงล้มไป        ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง 

.สุนทรเกตุ

หัวใจนกอินทรี



หัวใจอินทรี

ขณะที่ “ชาวไร่” คนหนึ่ง กำลังเดินผ่านบริเวณตีนเขา ชาวไร่คนนั้นก็ได้พบ "ไข่ของนกอินทรี" ฟองหนึ่งตกลงมาจากรังซึ่งอยู่บนหน้าผา เขาเห็นว่าไข่ฟองนั้นยังไม่แตก เขาจึงเก็บไข่ใบนั้นกลับไปที่ไร่ แล้วเขาก็นำไปให้ “แม่ไก่” ตัวหนึ่งที่กำลังกกไข่ของมันลองฟักดู 

ในไม่ช้า แม่ไก่ก็ฟักจน ลูกนกอินทรี” ออกมาจากไข่ พร้อมๆกับลูกของมันซึ่งเป็น “ลูกไก่”

ลูก นกอินทรีตัวนั้น จึงเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพวกลูกไก่ มันเดินตามแม่ไก่ และพยายามส่งเสียงร้องให้เหมือนลูกไก่ แต่มันก็ทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย มันเดินช้างุ่มง่าม เพราะตัวของมันอ้วนใหญ่ และเสียงของมันก็ใหญ่แหบห้าว ไม่ไพเราะเหมือนพวกพี่ๆน้องๆมัน มันพยายามหัดคุ้ยเขี่ยหาอาหาร พวกแมลง และไส้เดือนกิน ใช้ชีวิตไปตามประสาไก่

อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่ลูกนกอินทรีและพี่น้องไก่ กำลังคุ้ยเขี่ยหาอาหารกินอยู่นั้น แม่ไก่ก็ ส่งเสียงร้องเตือน ให้พวกลูกๆรีบเข้ามาซุกปีกของมัน เพื่อหลบหนีจากภัยร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น

เมื่อมันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มันก็เห็น “นกตัวใหญ่” นกตัวนั้นช่างสง่างาม และน่าเกรงขามยิ่งนัก มันบินถลา...ร่อนอยู่บนเวหาสีคราม อย่างไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด

แม่จ๋า... นั่นตัวอะไรจ๊ะแม่ ดูช่างสง่างาม และน่าเกรงขามจังเลย" แม่ของมันจึงตอบว่า
ลูกเอ๋ย... นั่นคือ เจ้าแห่งเวหา หรือ พญาอินทรี ไงล่ะ เจ้าอย่าได้แสดงตัวออกไปท้าทายเด็ดขาด เพราะนอกจากท่านจะสง่างามแล้ว ท่านยังมี “กรงเล็บและจะงอยปากอันแหลมคม” ที่สามารถฉีกเนื้อของเจ้าออกเป็นชิ้นๆได้อย่างง่ายดาย

พอมันเริ่มโตขึ้นเป็น นกอินทรีหนุ่ม เหล่าพี่น้องของมันซึ่งเติบโตขึ้นมาเป็น ไก่หนุ่มไก่สาว ก็ล้วนแล้วแต่มีความคล่องแคล่วปราดเปรียวยิ่งนัก ผิดกับเจ้านกอินทรี ที่ยังคงแลดูอ้วน และอุ้ยอ้ายเช่นเดิม สร้างความขบขันให้กับ บรรดาไก่ทั้งหลาย และถูกล้อเลียนอยู่เนืองนิตย์

มันจึงนึกในใจว่า “ทำไมตัวฉันช่างโชคร้ายเสียจริงๆ ที่เกิดมามีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าไก่ตัวอื่นๆ ตัวของฉันนั้นใหญ่โตจนน่าจะเท่ากับ พญาอินทรี แล้ว แต่มันกลับไร้ค่ายิ่งนัก เมื่อเปรียบกับ เจ้าเวหา ผู้ครอบครอบแผ่นฟ้า นี่ถ้าฉันได้เป็น นกอินทรี จริงๆ ก็คงจะดีไม่น้อยทีเดียว เพราะบรรดาไก่ทั้งหลายจะได้ไม่หัวเราะเยาะฉันเหมือนเช่นทุกวันนี้"

ในที่สุด นกอินทรีตัวนั้น ก็ใช้ชีวิตต่อไปดั่งเช่น ไก่ที่อัปลักษณ์ตัวหนึ่ง เติบโต แก่ลง และตายไป ด้วยความหวัง และคำอธิฐานที่น่าสงสารก่อนตายว่า

"เกิดชาติหน้าอีกครั้ง ขอให้เกิดเป็น นกอินทรี เถิด"


จงเชื่อถือและศรัทธาต่อตนเอง

เรา” จะเป็น “ใคร” นั้น สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “รูปลักษณ์ภายนอก” แต่อยู่ที่ “หัวใจของเรา” หัวใจที่ต้อง เชื่อถือศรัทธา ต่อตัวของเราเอง เท่านั้น

เฉกเช่นเดียวกันกับ “ลูกนกอินทรี” ที่ถึงแม้ว่า ร่างกายภายนอก ของมัน จะเป็น พญาอินทรีที่ยิ่งใหญ่ แล้วก็ตาม แต่เมื่อมันไร้ซึ่ง หัวใจของพญาอินทรี แล้ว มันก็ไม่มีวันที่จะกลายเป็น พญาอินทรี เจ้าแห่งเวหาได้

สิ่งที่เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ เมื่อ หัวใจของลูกนกอินทรี ยอมรับว่า.. ตัวของมันคือ ไก่อัปลักษณ์ แล้ว มันก็ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้อีกต่อไป ชีวิตของมันจึงต้องเป็นเช่น ไก่อัปลักษณ์ ไปตลอดชีวิต
ตัวเราเองก็เช่นกัน คงไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเหลือเราให้เป็น “คนสำเร็จ” ได้ ความจริงก็คือ เรามี “ร่างกาย” ที่ไม่ได้แตกต่างจากคนสำเร็จคนอื่นๆเลย สิ่งที่เหลือก็เพียง เราต้องเอา “หัวใจของคนสำเร็จ” มาใส่ในตัวของเราให้ได้ เท่านั้น!

หัวใจที่    ศรัทธาในตัวของเราเองอย่างไม่สั่นคลอน

หัวใจที่     เชื่อว่าอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆว่า เราคือ “คนสำเร็จ” เราคือ “พญาอินทรีที่ยิ่งใหญ่” และเราไม่ใช่ “ไก่อัปลักษณ์” อีกต่อไป

ผมอยากจะบอกกับทุกคนว่า

เราคือ “พญาอินทรี” ไม่ใช่ “ไก่”
จงกางปีกแล้วบินไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เถิด

It's all in the state of Mind



It's all in the state of Mind
เรื่องโดย Walter D. Wintle

ให้คำภาษาไทยโดย คุณพละชัย ฟูเกียรติพงษ์
......................

If you think you are beaten, you are,
ถ้าคุณคิดว่าคุณอ่อนล้าสิ้นแรง คุณก็จะเป็นดังเช่นคุณคิด

If you think that you dare not, you don't,
ถ้าคุณคิดว่าคุณคงทำไม่ได้ คุณก็ทำไม่ได้ตั้งแต่คุณคิด

If you'd like to win, but you think you can't,
ถ้าคุณต้องการจะชนะ แต่คุณกลับคิดว่าคุณคงเอาชนะไม่ได้

It's almost certain you won't.
มันก็เกือบจะแน่นอนแล้วว่า คุณไม่มีทางที่จะชนะ

If you think you'll lose, you've lost,
ถ้าคุณคิดว่าคุณคงพ่ายแพ้ คุณก็แพ้แล้วตั้งแต่คุณคิด

For out of the world we find
ในโลกใบนี้ คุณจะพบว่า

Success begins with a fellow's will
ความสำเร็จเริ่มจาก ความปรารถนาจากภายใน เสมอ

It's all in the state of mind.
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ขึ้นอยู่กับ ความคิดที่อยู่ในจิตของคุณ

If you think you are out-classed, you are;
ถ้าคุณคิดว่าคุณเหนือชั้น คุณก็จะเหนือกว่าผู้อื่น

You've got to think high to rise;
คุณต้องคิด ให้ใหญ่ขึ้น ให้สูงขึ้น

You've got to be sure of yourself before
คุณต้องเชื่อมั่นในตัวคุณเองให้มากขึ้นเสียก่อนที่

You can ever win a prize,
คุณจะคว้าชัยชนะมาครอบครอง

Life's battles don't always go to the stronger or faster man;
ในสงครามชีวิตนั้น ชัยชนะไม่ได้เกิดกับผู้ที่ แข็งแรงกว่า หรือเร็วกว่า เสมอไป

But soon or late the man who wins,
แต่ในไม่ช้าไม่นาน ผู้ที่ประสบชัยชนะ ก็คือ

Is the man who thinks he can.
ผู้ที่คิดว่า "เขาทำได้" เท่านั้น!

 
จงตระหนักว่า “ความคิด” กำหนดทุกสิ่งในชีวิตของเรา

บท ความนี้ เป็นบทความที่ถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้าวขวางทั่วโลก ทุกครั้งที่ผมได้อ่านบทความนี้ ผมจะเกิดพลังใจ และแรงบันดาลใจขึ้นอย่างมากมาย ผมได้รับรู้ถึง กุญแจดอกสำคัญ ที่ใช้ในการเปิดประตูสู่การประสบความสำเร็จในชีวิต นั่นก็คือ ความคิดที่อยู่ในจิตใจ ของเรา

ดังนั้น หากเราปรารถนาความสำเร็จ ก็คงต้องเริ่มจากการสร้าง ความปรารถนาอันแรงกล้า ให้เกิดขึ้นจากภายในจิตใจของเราก่อนเสมอ แล้วหลังจากนั้น ก็เสริมด้วย ศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อตัวของเราเอง และสิ่งต่อมาก็คือ การปลูกฝังความคิดในจิตใจเสมอว่า เราทำได้ ทั้งนี้ก็เพราะ

It's all in the state of mind.”

พันธนาการของช้างน้อย



พันธนาการของช้างน้อย

ในอดีตกาลนานโพ้น มี “ช้างป่า” อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อคนต้องการจะนำช้างป่ามาเลี้ยงเป็น “ช้างงาน” หรือเป็น “ช้างศึก” นั้น พวกเขาก็จะพากันเข้าไปในป่า แล้วตีเกราะเคาะไม้ ร้องตะโกน เพื่อไล่ต้อน โขลงช้างป่า ให้ตื่นตกใจพากันหนีออกมาจากป่า แล้วพวกเขาก็จะไล่ต้อนโขลงช้างป่าให้เข้าไปใน “เพนียดคล้องช้าง”

จากนั้นพวกเขาก็จะคัดเลือกเอาเฉพาะ ช้างที่มีลักษณะดี นำมาฝึกให้เป็น "ช้างศึก" และแยกเอา "ลูกช้าง" ตัวน้อยออกมาจากแม่ช้าง เพื่อนำมาเลี้ยงเป็น "ช้างงาน"

ซึ่งวิธีการฝึกช้างนั้น พวกชาวบ้านก็จะนำ "โซ่ตรวน" มาผูกติดไว้ที่ขาข้างหนึ่งของ "ช้างน้อย" ส่วนปลายโซ่อีกด้านหนึ่ง จะถูกล็อกติดไว้กับ "เหล็กแหลม" ซึ่ง เหล็กแหลมนี้จะยาวประมาณ 3 ฟุต ใช้ตอกลงไปในดินจนมิด แทนการผูกไว้กับเสาหรือต้นไม้ เพื่อไม่ให้โซ่พันกับหลักเมื่อลูกช้างเดินไปเดินมา จากนั้นก็ล่ามโซ่เจ้าช้างน้อยตัวนั้นไว้

เมื่อช้างน้อยถูกล่ามโซ่ มันก็จะพยายามจะหนีออกจากพันธนาการนี้ แรก ๆ มันก็จะใช้แรงของมัน กระชากดึง โซ่ที่ผูกติดกับขาของมันออก 

ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่สามารถเอาชนะโซ่เส้นนี้ได้ ซ้ำร้าย...มันกลับถูก “คม” ของโซ่เส้นนั้น บาดที่ข้อเท้าของมันจนเป็นแผลลึก ทำให้มันเจ็บปวด และทรมานอย่างมาก

ไม่นานนัก...ลูกช้าง ก็ยอมรับว่า มันไม่สามารถจะเอาชนะ "โซ่” ที่พันธนาการมันอยู่นี้ได้

ช้างน้อย...ก็เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตของมัน ด้วยการเดินอยู่ในรัศมีของโซ่เส้นนี้

เมื่อโซ่ตึง...มันก็จะหยุด...แล้วเดินไปอีกทางหนึ่ง จนเมื่อโซ่ตึงอีก...มันก็จะหยุด เป็นเช่นนี้เรื่อยไป โดยไม่พยายาม ดึง หรือ กระชาก โซ่ที่พันธนาการมันออกอีกเลย

วันเวลาผ่านไปจนมันเติบโตขึ้นเป็น “ช้างพัง ช้างพลาย” ตัวใหญ่ ที่มีเรี่ยวแรงมหาศาล มันสามารถใช้งวงและงางัด หรือยกซุงต้นใหญ่ ๆ ขึ้นมาได้ มันสามารถถอนต้นไม้หลาย ๆ ต้นขึ้นมาได้ทั้งรากทั้งโคนเลยทีเดียว

แต่เมื่อใดก็ตาม ที่มันเห็นว่ามันถูกผูกติดไว้กับ "โซ่" เส้นนี้ มันไม่เคยที่จะพยายามกระชากดึงเลยสักครั้ง

จึงมีคำถามที่น่าคิดว่า...

เมื่อตอนที่มันเป็น “ช้างตัวเล็กๆ” มันถูกพันธนาการไว้ด้วย "โซ่" แต่เมื่อมันโตขึ้นเป็น “ช้างตัวใหญ่” แล้ว มันถูก พันธนาการ ไว้ด้วยอะไร?



 
อย่าเอาความล้มเหลวใน “อดีต”
มาตัดสิน “อนาคต”

สิ่งที่ฉุดรั้งชีวิตของเรา ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่านั้น ก็คือ ความกลัว ความเจ็บปวด และ ประสบการณ์ ที่เราเคยได้รับมาในอดีต

ชีวิตของเราในวันนี้ ก็เปรียบเช่นเดียวกับ “ช้างน้อย” ที่ถูกล่ามโซ่ เราอาจจะ เคยคิด เคยพยายาม ที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรค์ต่างๆ เพื่อจะได้พบกับความสำเร็จ

แต่สิ่งที่เราได้รับ ก็คือ บาดแผล และ ความเจ็บปวด จากความพยายามนั้น และความทรงจำเหล่านี้นี่เองที่ยังคง ฝังลึกอยู่ในจิตใจของเรา อย่างแนบแน่น

จนเราไม่กล้าพอที่จะคิด เปลี่ยนแปลง และไม่เชื่อมั่นในตัวเองว่า เราจะสามารถ เอาชนะ ปัญหาและอุปสรรค์เหล่านั้นได้อีก

ทั้งๆที่ในเวลานี้ เรามี ความสามารถ และประสบการณ์ ที่มากมายกว่าในอดีตยิ่งนัก

ทั้งๆที่ในวันนี้ ร่างกายของเราได้เจริญเติบโตขึ้น และกลายเป็น พญาคชสาร ผู้ยิ่งใหญ่แล้วก็ตาม

สะบัดโซ่ตรวน ที่พันธนาการจิตใจของเราออกเถิดครับ แล้วเราจะได้เห็นว่า ศักยภาพที่แท้จริง ของเรานั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด

นกแสนสวย กับ ถั่วของอาบัง



นกแสนสวย กับ ถั่วของอาบัง

กาล ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกแสนสวยตัวหนึ่ง มันเป็นนกที่มีขนสวยงามมาก ผู้คนที่พบเห็นต่างก็อยากได้ตัวมันไว้ครอบครอง แต่ก็ไม่เคยมีชาวบ้านคนไหนที่จะสามารถจับนกแสนสวยตัวนั้นได้เลย ทั้งนี้ก็เพราะ มันเป็นนกที่บินได้อย่างปราดเปรียวว่องไวมาก

อยู่มาวันหนึ่ง ก็มี “อาบังขายถั่ว” มานั่งที่ใต้ต้นไม้ที่นกแสนสวยตัวนั้นอาศัยอยู่ พอนกแสนสวยเห็น “ถั่ว” ที่อยู่ในตะกร้าของอาบัง ก็เกิดอยากกินขึ้นมา จึงร้องถามอาบังว่า

อาบัง อาบัง ขอถั่วให้ข้ากินบ้างจะได้ไหม

อาบังได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับไปว่า เจ้าอยากกินถั่วเหล่านี้หรือ ได้ซิ ข้าจะแบ่งถั่วให้เจ้ากินบ้างก็ได้ แต่ข้าขอ แลกกับ “ขนปีก” ที่แสนสวยของเจ้าสัก “หนึ่งเส้น” ได้ไหมล่ะ

เมื่อนกแสนสวยได้ยินดังนั้น ก็ก้มลงมองที่ขนของตนเอง แล้วคิดว่า

“ขนปีกของเราก็มีเยอะมาก ถ้าจะยอมเสียให้อาบังไปสักเส้นสองเส้นก็คงจะไม่เป็นไรหรอก” ว่าแล้วนกแสนสวยก็เลยถอน “ขนปีก” ของมันแลกกับ “ถั่ว” ของอาบังไป

วันต่อมา... อาบังขายถั่วก็มานั่งพักที่ใต้ต้นไม้ต้นนั้นอีก นกแสนสวยก็ถามกับอาบังอีกว่า
อาบัง อาบัง วันนี้ขอถั่วให้ข้ากินอีกจะได้ไหม

อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า ได้ซิแต่ข้าขอขนปีกที่แสนสวยของเจ้าแลกเปลี่ยนเหมือนเดิมก็แล้วกัน”
นกแสนสวยก็คิดเหมือนเดิมว่า ขนมันยังมีอยู่มากมายก็เลยถอน “ขนปีก” ให้กับอาบังไปอีก

เรื่องเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไปอีกหลายวัน จนกระทั้งถึงวันหนึ่ง เมื่อนกแสนสวยก็ขอถั่วอาบังกินอีก อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า

ขอขนปีกแสนสวยแลกเปลี่ยนก่อน นกแสนสวยก็ไม่รีรอและรีบถอน “ขนปีก” ให้กับอาบังไปทันที แล้วก็ลงมากิน “ถั่ว” ของอาบังเหมือนเช่นทุกวัน

แต่วันนี้ สถานการณ์กลับเปลี่ยนไป เมื่อมันลงมาเพื่อกินถั่ว “อาบัง” ก็รีบตะครุบจับ “เจ้านกแสนสวยตัวนั้น” ไว้ได้สำเร็จ

ทั้งนี้ก็เพราะว่า...
“ขนปีก” ของ “นกแสนสวย” ตัวนั้น เหลือน้อย เกินกว่าที่จะบินหนี “อาบัง” ได้ทัน นั่นเอง!



จงเป็นผู้ลิขิตชีวิตของตนเอง

“เวลาของเรา” นั้นกำลังเหลือน้อยลงไปทุกขณะ แต่เราก็มีอิสระที่จะเลือกว่า เราจะให้ “เวลาของเรา” กับใคร

หาก นกแสนสวย เปรียบเป็น ตัวของเรา ในวันนี้

ขนปีกของนกแต่ละเส้น ก็คือ เวลาของเรา ที่มีอยู่

และ อาบังขายถั่ว ก็เปรียบได้กับ นายจ้างของเรา นั่นเอง
ส่วน ถั่วที่อาบังให้ ก็คือ เงินเดือน ที่นายจ้างให้กับเรา

ทุกวันนี้ เราได้ยอมมอบ “เวลาของเรา” ให้กับ “นายจ้าง” เหมือนกับที่ “นกแสนสวย” ได้ถอน “ขนปีก” ให้กับ “อาบัง”

และ “นายจ้าง” ก็ได้ให้ “เงินเดือน” อันน้อยนิด เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เช่นเดียวกับที่ “อาบัง” ให้ “ถั่ว” เพียงไม่กี่เม็ด กับ “นกแสนสวย” ตัวนั้น

“ขนปีกแสนสวย” ที่เคยมีอยู่อย่างมากมายนั้น ค่อยๆลดจำนวนลง เช่นเดียวกับ “เวลาอันมีค่า” ที่ค่อยๆเหลือน้อยลงทุกขณะ

ความคล่องแคล่วว่องไวในการ “บิน” ที่เคยมี ก็ลดน้อยถอยลง ตามจำนวน “ขนปีก” ที่สูญเสียไป นั้นก็คงเหมือนกับ “ความสามารถ หรือ พลังในการทำงาน” ของเราที่กำลังลดน้อยลงตาม “กาลเวลา” ที่ผ่านไป   

หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...

เราก็คงจะเหมือนกับ “นกแสนสวย” ที่ไม่สามารถหนีไปไหนได้ ถูกจับ ถูกกักขัง เหมือนดั่ง “นกน้อยแสนสวยในกรง” หรือ เป็นเพียง “สัตว์เลี้ยงของอาบัง” อีกหนึ่งตัวเท่านั้นเอง

เพียงแต่วันนี้ ...

เรายังโชคดีที่เราได้ “คิด” ในขณะที่เรายังคงมี “เวลา และ ความสามารถ” คงเหลือมากพอ ที่จะออกไปแสวงหาสิ่งใหม่ๆให้กับชีวิต 

ดั่งเช่น นกน้อยที่มี “ขนปีก” มากเพียงพอที่จะโผบินสู่ท้องฟ้าอย่างอิสระได้

ถึงเวลากางปีกแล้วโผบิน
สู่ชีวิตใหม่ที่คุณจะเป็นผู้ลิขิตชีวิตตัวเองได้แล้ว

หรือว่าเวลานี้ คุณคือนกที่เหลือขนปีกน้อยเกินไปเสียแล้ว?

The coach



The coach

เด็ก ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง กำลังนั่งดูการแข่งขันฟุตบอลกับ คุณพ่อ เธอเห็นพี่ชายของเธอ ซึ่งเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน โดนผู้ชายตัวใหญ่ๆคนหนึ่งที่อยู่ข้างสนาม ตะโกนต่อว่าด้วยเสียงอันดังเธอจึงหันไปถามผู้เป็นพ่อว่า...

"คุณพ่อขา คนๆนั้นเป็นใครกันคะ ทำไมเขาจึงตะโกนว่าพี่ของหนูอยู่เรื่อยเลย"

ผู้เป็นพ่อ ยิ้มรับแล้วตอบว่า...

"อ๋อ...เขาเป็น 'โค้ช' น่ะลูก และที่เขาต้องตะโกนเสียงดังก็เพราะว่าเขาต้องบอกกับนักกีฬาว่า ต้องเล่นอย่างไรไงคะ"

"แล้วทำไมต้องมี 'โค้ช' ด้วยล่ะคะพ่อ พี่เขาเล่นเองไม่ได้หรือคะ" เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย

"ได้ซิลูก พี่เขาเล่นเองก็ได้ แต่ว่า โค้ช จะช่วยให้พี่ของหนูเล่นได้ดีมากขึ้นไปอีกค่ะ"

"งั้นก็แปลว่า 'โค้ช' ต้องเล่นเก่งที่สุดกว่าใครๆ เลยใช่ไหมคะ" สาวน้อยด่วนสรุปทันที

พ่อจึงตอบว่า

"ความจริงแล้ว 'โค้ช' อาจจะเล่นกีฬาไม่เก่งเลยก็ได้นะ เพราะว่ามี โค้ชเก่งๆ หลายคน ที่ไม่เคยเป็นนักกีฬามาก่อนเลยแต่เขาก็สามารถเป็น โค้ชที่ดี ได้เช่นกันนะคะลูก"

เธอทำหน้าฉงนแล้วถามว่า
"ถ้าไม่เก่งแล้วทำไมจึงให้มาสอนคนอื่นได้ล่ะคะ?



จงแสวงหา ”โค้ช” มาช่วยชี้แนะ แนวทางในการพัฒนาตัวเราเอง

หลายๆครั้งที่เราดูกีฬา
เราก็มักจะเห็น ใครบางคนที่ถูกขนานนามว่า โค้ช

คนเหล่านี้ไม่ได้ลงไปเล่นในสนาม
แต่พวกเขาก็มีส่วนร่วมใน เกมส์ ไม่น้อยไปกว่า นักกีฬา เลย

บางครั้งเราจะเห็นว่า โค้ช
คลั่งไปกับ เกมส์ มากกว่านักกีฬาเสียอีก

ทั้งนี้ก็เพราะ... หัวใจและสายตาของ "นักกีฬา" นั้น
จับจ้องอยู่กับ เกมส์การแข่งขัน
และสมองของเขาคิดถึง... วิธีการที่จะเล่น เพื่อรับชัยชนะ

แต่... หัวใจและสายตาของ "โค้ช"
จับจ้องอยู่กับ นักกีฬาของเขา
และสมองของเขาก็คิดถึง...
วิธีการที่จะทำให้นักกีฬาเล่น และได้รับชัยชนะ

ความเป็นจริงอีกประการหนึ่ง ก็คือ
"โค้ช" อาจจะไม่ใช่นักกีฬาที่เก่งที่สุด
"โค้ช" อาจจะเป็นนักกีฬาที่ไม่เคยเป็นแชมป์เลยสักครั้ง

แต่ก็...ไม่มีนักกีฬาที่เป็นแชมป์คนใดที่...ไม่มี "โค้ช"

เช่นเดียวกันกับชีวิตการทำงานของเรา
หากเปรียบตัวเรากับ ผู้เล่น หรือ นักกีฬา แล้ว
งานและธุรกิจที่เราทำ ก็เปรียบได้กับ เกมส์กีฬา ที่เราเล่น

ซึ่งเราคงไม่สามารถมอง และวิเคราะห์การทำงานของตัวเรา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องมองหา “โค้ช” ผู้มีความเชี่ยวชาญ ให้มาช่วยทำหน้าที่นี้ หรือ อาจจะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ที่ปรึกษา” นั่นเอง

คราวหน้าถ้าคุณดูเกมส์การแข่งขันกีฬา ก็ลองสังเกตดู โค้ช บ้างนะครับ